ระบบการประมวลผลทางธุรกิจ
(Transaction
Processing Systems : TPS)
ระบบการประมวลผลทางธุรกิจ (Transaction
Processing System : TPS) หมายถึง ระบบสารสนเทศที่ใช้ในการเปลี่ยนข้อมูลดิบจากการปฏิบัติงานให้อยู่ในรูปแบบที่เครื่องจักรสามารถอ่านได้,
เก็บรายละเอียดรายการ, ประมวลผลรายการและสั่งพิมพ์รายละเอียดรายการ
ออกมาได้ รายการ (Transaction) คือ
การกระทำพื้นฐานที่เกิดขึ้นระหว่างการดำเนินการทางธุรกิจ เช่น การขายสินค้า
การจองตั๋วเครื่องบิน
การซื้อสินค้าผ่านเครดิตการ์ดและการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าคงคลัง
จัดเป็นรายการทั้งสิ้น ระบบประมวลผลรายการนิยมใช้ในการประมวลผลบัญชี, การขาย, หรือประมวลผลข้อมูลสินค้าคงคลัง
เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้เป็นที่ต้องการของระบบสารสนเทศอื่นๆในองค์กร
ในการดำเนินการของระบบประมวลผลรายการ
ข้อมูลถูกนำเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ของระบบสารสนเทศ โดยใช้แป้นพิมพ์หรืออุปกรณ์อื่นๆ
ข้อมูลจะถูกเก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์จนกระทั่งพร้อมที่จะถูกประมวลผล
หลังจากที่ข้อมูลถูกป้อนเข้าไปแล้ว จะเกิดการประมวลผลเพื่อเปลี่ยนข้อมูลเป็นสารสนเทศที่มีประโยชน์ในการจัดการ
โดยระบบประมวลผลรายการจะทำการบันทึกรายการลงในฐานข้อมูลและผลิตเอกสารที่เกี่ยวข้องกับรายการนั้นออกมา
อาจอยู่ในรูปแบบของรายงาน, ตาราง, กราฟ,ภาพเคลื่อนไหว และเสียงฯลฯ
ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้สารสนเทศนั้นๆ
ชนิดของ
TPS
แบ่งไดเปน 2 ชนิด คือ
1 ระบบการประมวลผลแบบกลุ่ม (Batch
Processing System) ข้อมูลจากหลายๆรายการ จากผู้ใช้หลายๆ คน
หรือจากช่วงเวลาหลายๆ ช่วง ถูกรวมเข้าด้วยกัน, นำเข้า
และประมวลผลเหมือนเป็นกลุ่มเดียว ตัวอย่างเช่น ยอดขายรายวันซึ่งถูกประมวลผลเพียงวันละหนึ่งครั้ง
จะใช้ระบบการประมวลผลแบบกลุ่มนี้เมื่อข้อมูลไม่จำเป็นต้องปรับปรุงทันที
และเมื่อมีข้อมูลจำนวนมากที่คล้ายกัน ต้องถูกประมวลผลในครั้งเดียวกัน
2
ระบบการประมวลผลแบบออนไลน์ (Online Processing System) รายการถูกประมวลผลเมื่อเกิดรายการนั้นขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
2.1
การประมวลผลเชิงรายการ (Transactional Processing) ข้อมูลถูกประมวลผลเมื่อป้อนข้อมูลเข้าโดยไม่ต้องเก็บไว้ประมวลผลในภายหลัง
เช่น ระบบเช็ครายการสินค้าออกของร้านขายของชำ
โดยระบบจะทำการออกใบเสร็จรับเงินที่แสดงรายการสินค้าทันทีหลังจากรายการสินค้าต่างๆ
ที่ซื้อ ถูกประมวลผล
2.2 การประมวลผลแบบทันที
(Real-time Processing) ใช้ในระบบควบคุม
หรือระบบที่ต้องการให้เกิดผลสะท้อนกลับ เช่นขบวนการควบคุมอุณหภูมิของห้างสรรพสิน
การทำงานของการประมวลผลแบบทันที สามารถไปมีผลกระทบกับตัวรายการนั้นๆ เอง
ถ้าผู้ใช้หลายรายแข่งขันกันเพื่อใช้ทรัพยากรเดียวกัน เช่นที่นั่งบนเครื่องบิน
หรือในชั้นเรียนพิเศษ
วัตถุประสงค์ของ
TPS
1. มุ่งจัดหาสารสนเทศทั้งหมดที่หน่วยงานต้องการตามนโยบายของหน่วยงานหรือตามกฎหมาย
เพื่อช่วยในการปฏิบัติงาน
2. เพื่อเอื้ออำนวยต่อการปฏิบัติงานประจำให้มีความรวดเร็ว
3. เพื่อเป็นหลักประกันว่าข้อมูลและสารสนเทศของหน่วยงานมีความถูกต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและรักษาความลับได้
4. เพื่อเป็นสารสนเทศที่ป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบสารสนเทศที่ใช้ในการตัดสินใจอื่น
เช่น MRS หรือ DSS
ลักษณะเด่นของระบบ
TPS
คือ
การทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานง่าย ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน
ซึ่งระบบนี้เกือบทั้งหมดใช้การประมวลผลแบบออนไลน์
และสิ่งที่องค์กรจะได้รับเมื่อใช้ระบบนี้ คือ
1. ลดจำนวนพนักงาน
2. องค์กรจะมีการบริการที่สะดวกรวดเร็ว
3. ลูกค้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
หน้าที่ของ
TPS
หน้าที่ของ TPS
มีดังนี้ (Haag et al.,2000:50)
1. การจัดกลุ่มของข้อมูล
(Classification) คือ
การจัดกลุ่มข้อมูลลักษณะเหมือนกันไว้ด้วยกัน
2. การคิดคำนวณ (Calculation)
การคิดคำนวณโดยใช้วิธีการคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ เช่น การคำนวณภาษีขายทั้งหมดที่ต้องจ่ายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
3. การเรียงลำดับข้อมูล (Sorting)
การจัดเรียงข้อมูลเพื่อทำให้การประมวลผลง่ายขึ้น เช่น การจัดเรียง invoices
ตามรหัสไปรษณีย์เพื่อให้การจัดส่งเร็วยิ่งขึ้น
4. การสรุปข้อมูล (Summarizing)
เป็นการลดขนาดของข้อมูลให้เล็กหรือกะทัดรัดขึ้น เช่น
การคำนวณเกรดเฉลี่ยของนักศึกษาแต่ละคน
5. การเก็บ (Storage)
การบันทึกเหตุการณ์ที่มีผลต่อการปฏิบัติงาน
อาจจำเป็นต้องเก็บรักษาข้อมูลไว้
โดยเฉพาะข้อมูลบางประเภทที่จำเป็นต้องเก็บรักษาไว้ตามกฎหมาย ที่จริงแล้ว TPS
เกี่ยวข้องกับงานทุกระดับในองค์การ แต่งานส่วนใหญ่ของ TPS จะเกิดขึ้นในระดับปฏิบัติการมากกว่า แม้ว่า TPS จะจำเป็นในการปฏิบัติงานในองค์การแต่ระบบ
TPS ก็ไม่เพียงพอในการสนับสนุนในการตัดสินใจของผู้บริหาร
ดังนั้นองค์การจึงจำเป็นต้องมีระบบอื่นสำหรับช่วยผู้บริหารด้วย
ลักษณะสำคัญของระบบสารสนเทศแบบ
TPS
1. มีการประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก
2. แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่มาจากภายในและผลที่ได้เพื่อตอบสนองต่อผู้ใช้ภายในองค์การเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันหุ้นส่วนทางการค้าอาจจะมีส่วนในการป้อนข้อมูลและอนุญาตให้หน่วยงานที่เป็นหุ้นส่วนใช้ผลที่ได้จาก
TPS โดยตรง
3. กระบวนการประมวลผลข้อมูลมีการดำเนินการเป็นประจำ
เช่น ทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกสองสัปดาห์
4. มีความสามารถในการเก็บฐานข้อมูลจำนวนมาก
5. มีการประมวลผลข้อมูลที่รวดเร็ว
เนื่องจากมีปริมาณข้อมูลจำนวนมาก
6. TPS จะคอยติดตามและรวบรวมข้อมูลภายหลังที่ผลิตข้อมูลออกมาแล้ว
7. ข้อมูลที่ป้อนเข้าไปและที่ผลิตออกมามีลักษณะมีโครงสร้างที่ชัดเจน
(structured data)
8. ความซับซ้อนในการคิดคำนวณมีน้อย
9. มีความแม่นยำค่อนข้างสูง
การรักษาความปลอดภัย ตลอดจนการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลมีความสำคัญเกี่ยวข้องโดยตรงกับ
TPS
10. ต้องมีการประมวลผลที่มีความน่าเชื่อถือสูง
กระบวนการของ
TPS
กระบวนการประมวลข้อมูลของ TPS
มี 3 วิธี คือ
1. Batch processing การประมวลผลเป็นชุดโดยการรวบรวมข้อมูลที่เกิดจากธุรกรรมที่เกิดขึ้นและรวมไว้เป็นกลุ่มหรือเป็นชุด
(batch) เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
หรือจัดลำดับให้เรียบร้อยก่อนที่จะส่งไปประมวลผล
โดยการประมวลผลนี้จะกระทำเป็นระยะๆ (อาจจะทำทุกคืน ทุก 2-3
วัน หรือทุกสัปดาห์)
2. Online processing คือ
ข้อมูลจะได้รับการประมวลผลและทำให้เป็นเอาท์พุททันทีที่มีการป้อนข้อมูลของธุรกรรมเกิดขึ้น
เช่น การเบิกเงินจากตู้ ATM จะประมวลผลและดำเนินการทันที
เมื่อมีลูกค้าใส่รหัสและป้อนข้อมูลและคำสั่งเข้าไปในเครื่อง
3. Hybrid systems เป็นวิธีการผสมผสานแบบที่
1) และ2) โดยอาจมีการรวบรวมข้อมูลที่เกิดขึ้นทันทีแต่การประมวลผลจะทำในช่วงกระยะเวลาที่กำหนด
เช่น แคชเชียร์ที่ป้อนข้อมูล การซื้อขายจากลูกค้าเข้าคอมพิวเตอร์ ณ จุดขายของ
แต่การประมวลผลข้อมูลจากแคชเชียร์ทุกคนอาจจะทำหลังจากนั้น (เช่น หลังเลิกงาน)
เป้าหมายของ
TPS
เป้าหมายของ TPS
หมายถึง การลดของเสีย ซึ่งของเสียในนิยามของ TPS มี 7 ข้อดังนี้
1. การผลิตมากเกินความจำเป็น
2. มีสต็อกวัตถุดิบมากเกินความจำเป็น
3. การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็น
ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือเครื่องจักร
4.
เคลื่อนย้ายที่ไม่จำเป็น ต่างกับข้อ 3
ตรงที่การเคลื่อนย้ายนี้หมายถึงเคลื่อนย้ายส่วนประกอบต่างๆ
5.
การรอคอยที่ไม่จำเป็น
6.
ใส่สิ่งที่ไม่จำเป็นให้กับลูกค้า
7.
มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นมาก
หน้าที่
การทำงานของ TPS
งานเงินเดือน
(Payroll)
- การติดตามเวลาการทำงานของพนักงาน
- การคิดเงินเดือน
โดยมีการหักภาษี ค่าประกัน หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ
- การออกเช็คเงินเดือนหรือการโอนเงินเดือนเข้าบัญชีให้กับลูกจ้าง
การสั่งซื้อสินค้า
(Purchasing)
- การสั่งซื้อหรือบริการต่างๆ
- การบันทึกข้อมูล
การส่งสินค้าหรือบริการจากซัพพลายเออร์
การเงินและการบัญชี
- การบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับรายรับ
(Finance and Accounting)
- การบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับภาษี
- การติดตามค่าใช้จ่ายต่างๆ
การขาย
(Sales)
- การบันทึกข้อมูลการขาย
- การออกใบเสร็จรับเงินหรือบิลส่งสินค้า
- การติดตามข้อมูลรายรับ
- การบันทึกการจ่ายหนี้
- การเก็บข้อมูลการส่งสินค้าหรือบริการไปยังลูกค้า
วัสดุคงคลัง
- การติดตามการใช้วัสดุภายในหน่วยงาน
(Inventory Management)
- การติดตามระดับปริมาณของวัสดุคงเหลือ
- การสั่งซื้อวัสดุที่จำเป็น
ตัวอย่าง
ระบบประมวลผลรายการ
(TPS
: Transaction Processing Systems)
บางครั้งเรียกว่า ระบบประมวลผลข้อมูล (DP
: Data Processing Systems) ซึ่งเป็นการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการจัดการข้อมูลเบื้องต้น
เป็นการประมวลข้อมูลที่เป็นการดำเนินงานประจำวันภายในองค์กรประมวลข้อมูลในยุคก่อนที่จะมีการนำเครื่องคอมพิวเตอร์มาใช้นั้น

จะเป็นการประมวลผลที่กระทำด้วยมือหรือใช้เครื่องคำนวณช่วย
ต่อมามีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการประมวลผล โดยเฉพาะในระบบ
ธุรกิจเพื่อช่วยงานประจำ เช่น การสั่งซื้อสินค้า การจัดระบบสินค้าคงคลัง
การทำบัญชีต่าง ๆ การทำใบเสร็จรับเงิน การทำใบแจ้งหนี้ ใบสั่งสินค้า รายการซื้อ
รายการขาย ในการทำการประมวลผลรายการก็จะมีการจัดทำเอกสารรายงานต่าง ๆ เป็นประจำ
แต่ยังไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นระบบ
สารสนเทศได้เต็มที่เพราะเอกสารส่วนมากถูกนำไปใช้เกี่ยวกับงานประจำวัน เช่น
การบันทึกรายการบัญชี การบันทึกยอดขายประจำวัน การออกใบแจ้งหนี้ เป็นการบันทึกรายการตาง
ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันซึ่งปฏิบัติงานในลักษณะซ้ำ ๆ ทุกวัน
มากกว่าจะใช้เพื่อการบริหาร หรือการจัดการ เพราะรายงานประจำวันนั้น
ไม่ระบุสารสนเทศที่ผู้บริหารต้องการทราบ เช่น ผู้บริหารต้องการทราบว่า
ลูกค้าประเภทไหนชอบสินค้าชนิดใด สินค้าใดจะมีแนวโน้มที่จะขายดีมากขึ้นหรือลดลง
สินค้าประเภทใดที่เป็นที่นิยมในภาคไหนTPS เป็นขั้นตอน
เบื้องต้นในการทำหน้าที่ผลิตสารสนเทศ
แล้วส่งไปยังระดับต่อไปตัวอย่างข้อมูลที่เข้ามาในระบบประมวลผลรายการ ได้แก่
ข้อมูลการสั่งซื้อสินค้า ข้อมูลการขายสินค้า ระบบการจองโรงแรมห้องพัก ระบบการจองตั๋วเครื่องบิน
ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลพนักงานลูกจ้าง หรือข้อมูลการส่งสินค้า
โดยจะนำข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้เข้ามาเพื่อ ทำการประมวลผลโดยถือว่าระดับ
ประมวลผลรายการเป็นระดับล่างสุดซึ่งในระดับนี้จำเป็นต้องมีการจัดการทำงานให้เป็นแบบแผนที่แน่นอนตายตัว
เป็นระบบที่เก็บข้อมูลธรรมดา เพื่อนำไปใช้งานในภายหลัง เช่น วันนี้มียอดขายเท่าใด
รายรับรายจ่ายเท่าใด มีเงินหมุนเวียนในระบบเท่าใดหรือในคลังสินค้า
สินค้าที่นำออกไปมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน
ปัจจุบันระบบประมวลรายการมักนิยมใช้กับการประมวลผลแบบออนไลน์ (On – line
Processing)

นั่นคือข้อมูลต่าง ๆ
จะถูกประมวลผลทันทีที่เข้าสู่ระบบ มักนิยมใช้กับงานธุรกิจประจำวัน
สรุปคือเป็นกิจกรรมในแต่ละวันนั่นเองโดยระบบประมวลผลรายการเป็น
ตัวเชื่อมระหว่างองค์กรกับสิ่งแวดล้อม
และเป็นตัวหลักที่เก็บข้อมูลไว้ก่อนที่จะส่งไปยังระดับอื่น ๆ ถ้าระบบนี้ทำงานได้ไม่ดีหรือมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น
จะทำให้ข้อมูลขาดประสิทธิภาพ
ก็จะเกิดผลกระทบทั้งองค์กรงานที่ได้อาจขาดความสมบูรณ์หรือเกิดความเสียหายได้ทั้งองค์กรเพราะทำให้ขาดความต่อเนื่องของงานหรือได้รับข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง
งานในระดับอื่น ๆ ก็ผิดพลาดตามไปด้วย สาเหตุหนึ่งของความผิดพลาด
อาจเกิดมาจากข้อมูลที่รับเข้ามาไม่สมบูรณ์เพียงพอ
หรือสาเหตุเกิดจากภายในระบบประมวลผลรายการเองซึ่งถือได้ว่า
ระบบประมวลผลรายการมีความสำคัญสูงสุดสำหรับองค์กรTPS มักจะทำการประมวลผลข้อมูลกับงานเฉพาะส่วนขององค์กร เช่น ฝ่ายรับสมัคร
ฝ่ายบัญชี ฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต เป็นต้น โดยแต่ละฝ่ายจะมีการรับข้อมูล
จัดเก็บข้อมูลไว้ในรูปของแฟ้มข้อมูลและทำการประมวลผลแยกกัน ผู้ใช้ระบบ TPS ได้แก่ เจ้าหน้าที่บันทึกข้อมูลพนักงานลงบัญชี พนักงานรับสั่งจอง เป็นต้น

มาตรการในการควบคุมและจัดการระบบงาน TPS มี 2
ข้อ
1.
สิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับระบบสารสนเทศ เช่น
เครือข่าย ฐานข้อมูล อุปกรณ์
โปรแกรม
2.
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ระบบสนใจ คือ
เรื่องเงิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น